เมนู

[1551] หลุมถ่านเพลิงลุกโพลงแล้ว ลึกกว่า
ชั่วบุรุษ ผาลที่เขาเผาร้อนอยู่ตลอดวัน (ร้อนปานใด)
กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้น.

[1552] เหมือนยาพิษชนิดร้ายแรง น้ำมันที่
เดือดพล่าน ทองแดงที่กำลังละลายคว้าง (ร้อนปานใด)
กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้น.

จบปานียชาดกที่ 5

อรรถกถาปานียชาดก



พระศาสดา เมื่อทรงประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภถึงการข่มกิเลส จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า มิตฺโต
มิตฺตสฺส
ดังนี้.
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร สมัยหนึ่ง คฤหัสถ์ผู้เป็นสหายกันชาวกรุง
สาวัตถี ประมาณ 500 คน ฟังพระธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้วบรรพชา
ถึงอุปสมบท พากันอยู่ภายในโกฏฐิสัณฐาคาร ถึงเวลาเที่ยงคืน ต่างก็ตรึกถึง
กามวิตก. เรื่องทั้งหมดบัณฑิตพึงให้พิสดาร โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในหนหลัง
นั่นแล. แปลกแต่ว่า ครั้นท่านพระอานนท์ให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกัน โดยอาณัติ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระศาสดาประทับนั่งเหนืออาสนะที่จัดถวาย
ทรงกระทำมิให้เป็นการเจาะจง ไม่ตรัสว่า พวกเธอพากันตรึกถึงกามวิตกแล้ว
ตรัสด้วยสามารถเป็นพระดำรัสสงเคราะห์ แก่ภิกษุทั้งปวงว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากิเลส เป็นของเล็กน้อยไม่มีเลย ธรรมดาว่าภิกษุต้องข่ม
กิเลสที่เกิดแล้ว ๆ เสีย บัณฑิตครั้งก่อน เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ
ต่างก็ข่มกิเลสทั้งหลายเสียได้ บรรลุปัจเจกพุทธญาณ ดังนี้แล้ว จึงทรงนำ
อดีตนิทานมาตรัส ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ในกรุงพาราณสี
สหาย 2 คน ในบ้านน้อยตำบลหนึ่ง ในแคว้นกาสี พากันถือกระออมน้ำดื่ม
ไปสู่ไร่ในป่า วางไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้วฟันไร่ ในเวลากระหายน้ำก็พากัน
มาดื่มน้ำ. ในคน 2 คนนั้น คนหนึ่งเมื่อมาก็เก็บน้ำดื่มของตนไว้เสีย ดื่มน้ำ
จากกระออมของอีกคนหนึ่ง ตอนเย็นออกจากป่าแล้ว ยืนอาบน้ำสำรวจดูว่า
วันนี้เราได้ทำบาปอะไร ๆ ไว้ ด้วยกายทวารเป็นต้นบ้าง มีหรือไม่ เห็นการ
ที่ขโมยน้ำของเพื่อนกันดื่ม ถึงความสลดใจคิดว่า ตัณหานี้ เมื่อเจริญคงโยน
เราเข้าไปในอบายทั้งหลายเป็นแน่แท้ เราจักข่มกิเลสอันนี้เสียให้ได้ กระทำ
การขโมยน้ำของเพื่อนกันดื่มนั้นให้เป็นอารมณ์ เจริญวิปัสสนา ทำปัจเจก-
พุทธญาณให้บังเกิดได้แล้ว ยืนนึกถึงคุณที่ตนได้รับอยู่. ลำดับนั้น อีกคนหนึ่ง
อาบน้ำแล้วขึ้นมากล่าวกะเขาว่า มาเถิดสหาย เราพากันไปเรือนเถิด. เขาตอบว่า
เธอไปเถิด ฉันไม่มีจิตคิดถึงเรือน เราเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว. เขากล่าวว่า
อันว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่เป็นอย่างท่านดอก. ลำดับนั้น ท่านจึง
ถามเขาว่า เป็นเช่นไรเล่า. เขาตอบว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย มีผม
เพียง 2 องคุลี ครองผ้าย้อมน้ำฝาด พากันอยู่ ณ เงื้อมเขานันทมูลกะ ใน
ป่าหิมพานต์ตอนเหนือ. ท่านลูบศีรษะ ในบัดดลนั้นเอง เพศคฤหัสถ์ของท่าน
ก็อันตรธานหายไป กลับกลายเป็นครองผ้า 2 ชั้นที่ย้อมแล้ว คาดรัดประคด
เช่นกับสายฟ้า มีจีวรเฉวียงบ่า มีสีเพียงดังแผ่นครั่ง ห่มเฉวียงบ่าไว้ข้างหนึ่ง

มีผ้าบังสุกุล จีวรสีเมฆ พาดอยู่บนบ่าเบื้องขวา มีบาตรดินสีเหมือนแมลงภู่
คล้องอยู่ที่บ่าเบื้องซ้าย. ท่านสถิตอยู่ในอากาศ แสดงธรรมแล้วเหาะไปลงที่
เงื้อมเขานันทมูลกะทันที. ยังมีกุฎุมพีคนหนึ่งในกาสิกคามนั่นเอง นั่งอยู่ที่ตลาด
เห็นชายผู้หนึ่ง พาภริยาของตนเดินไป ทำลายอินทรีย์เสีย มองดูหญิงผู้เลอโฉม
นั้น หวนคิดไปอีกว่า ความโลภนี้แหละ เมื่อมันเจริญจักโยนเราเข้าไปใน
อบายทั้งหลายได้ มีใจสลดเจริญวิปัสสนา บรรลุปัจเจกพุทธญาณ สถิตใน
อากาศแสดงธรรม เหาะไปเงื้อมเขานันทมูลกะเช่นกัน. ยังมีบิดากับบุตรคู่หนึ่ง
เป็นชาวกาสิกคามเหมือนกัน เดินทางไปร่วมกัน. พวกโจรป่าพากันซุ่มอยู่ที่
ปากดง พวกโจรเหล่านั้นจับบิดากับบุตรได้ ยึดบุตรไว้ปล่อยบิดาไป ด้วยสั่ง
ว่า เจ้าจงไปนำทรัพย์มาไถ่บุตรของท่านเถิด จับพี่น้อง 2 คนได้ ก็ยึดน้องชาย
เอาไว้ ปล่อยพี่ชายไป จับอาจารย์กับอันเตวาสิกได้ ยึดเอาอาจารย์ไว้ ปล่อย
อันเตวาสิกไป. อันเตวาสิกต้องไปนำทรัพย์มาไถ่ตัวอาจารย์ไป ด้วยความโลภ
ในศิลปะ. ลำดับนั้น บิดาและบุตรนั้น รู้ว่า พวกโจรซุ่มอยู่ที่ตรงนั้น จึงทำ
กติกากันไว้ว่า เจ้าอย่าเรียกข้าว่าพ่อนะ ถึงข้าก็จะไม่เรียกเองว่าลูก ในเวลาถูก
พวกโจรจับได้ ถูกถามว่าแกเป็นอะไรกัน ต่างคนก็ต่างพูดมุสาวาท ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่
แล้วแกล้งตอบว่า เราไม่ได้เป็นอะไรกัน. เมื่อทั้งคู่ออกพ้นจากดง ไปยืนอาบน้ำ
อยู่ในเวลาเย็น บุตรชายชำระศีลของตน เห็นมุสาวาทนั้น คิดว่า บาปนี้เมื่อเจริญ
จักโยนเราไปในอบายทั้งหลายได้ เราจักข่มกิเลสนี้ให้ได้ ดังนี้ เจริญวิปัสสนา
ทำปัจเจกพุทธญาณให้เกิดขึ้นแล้ว สถิตอยู่ในอากาศแสดงธรรมแก่บิดา เหาะ
ไปสู่เงื้อมเขานันทมูลกะเหมือนกัน. ยังมีอีกผู้หนึ่ง เป็นนายอำเภอคนหนึ่ง ใน
กาสิกคามนั่นแล บังคับให้คนฆ่าสัตว์. ครั้นในเวลากระทำพลีกรรม มหาชน
ประชุมกันกล่าวกะเขาว่า เจ้านายขอรับ พวกเราต้องฆ่าเนื้อและสุกรเป็นต้น
กระทำพลีกรรมแก่หมู่ยักษ์บ้างเถิดขอรับ กาลนี้เป็นกาลแห่งพลีกรรม ก็กล่าว

ว่า พวกท่านจงกระทำตามแบบอย่างทีเคยกระทำมาในครั้งก่อนนั่นแล. พวก
มนุษย์ได้ทำปาณาติบาตมากมาย. เขามองเห็นปลาและเนื้อเป็นอันมาก
รำคาญใจว่า มนุษย์เหล่านี้ ที่ฆ่าสัตว์มีประมาณเท่านี้ จักฆ่าตามคำของเรา
ผู้เดียวเท่านั้น ดังนี้แล้ว จึงยืนพิงช่องหน้าต่าง เจริญวิปัสสนา ทำปัจเจก
พุทธญาณให้เกิดแล้ว สถิตในอากาศแสดงธรรม เหาะไปเงื้อมเขานันทมูลกะ
เหมือนกัน. ยังอีกผู้หนึ่ง เป็นนายอำเภอในแคว้นกาสิกะเหมือนกัน ห้ามการ
ซื้อขายน้ำเมาไว้อย่างกวดขัน ถูกมหาชนพากันถามว่า เจ้านายขอรับ เมื่อก่อน
เวลานี้เป็นเวลางาน เรียกชื่อว่าสุราฉัณ (สุราที่ดื่มกันในวันมีมหรสพ) พวก
กระผมจะทำอย่างไรขอรับ จึงกล่าวว่า พวกท่านจงทำตามแบบอย่างเก่าก่อน
นั่นแล. พวกมนุษย์พากันกระทำการมหรสพ ดื่มสุราเมาแล้ว ทะเลาะกัน
จนมือเท้าแตกหัก ศีรษะแตก หูฉีกขาด ถูกจองจำด้วยสินไหมเป็นอันมาก.
นายอำเภอเห็นพวกคนนั้นแล้ว คิดว่า เมื่อเราไม่อนุญาต คนเหล่านี้ก็ไม่ต้อง
ได้ประสบทุกข์กัน. เขาทำความรำคาญใจ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ยืนพิงช่อง-
หน้าต่างอยู่ เจริญวิปัสสนา บรรลุปัจเจกพุทธญาณแล้ว สถิตอยู่ในอากาศ
แสดงธรรมว่า พวกท่านจงอย่าเป็นผู้ประมาทเถิด แล้วเหาะไปยังเงื้อมเขา
นันทมูลกะเหมือนกัน.
จำเนียรกาลนานมา พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ต่างเหาะ
มาลงที่ประตูกรุงพาราณสี เพื่อภิกขาจาร ล้วนนุ่งห่มผ้าเรียบร้อยเที่ยว
โปรดสัตว์ ด้วยอิริยาบถมีการก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น อันน่าเลื่อมใส
จนไปถึงประตูวัง. พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นพระคุณเจ้าเหล่านั้น ทรงมี
จิตเลื่อมใส นิมนต์ให้เข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ ล้างเท้า ทาด้วยน้ำมันหอม
อังคาสด้วยขาทนียและโภชนียะอันประณีต ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ตรัส
ถามว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย การบรรพชาในปฐมวัยของพระคุณเจ้า
ทั้งหลาย ดูช่างงดงามจริง เมื่อจะบรรพชาในวัยนี้ พระคุณเจ้าทั้งหลาย ต่าง

เห็นโทษในกามทั้งหลาย อย่างไรกันนะ อะไรเป็นอารมณ์ของพระคุณเจ้าเล่า.
เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น จะทูลแด่พระราชานั้น จึงทูลเป็นคาถาองค์ละ
1 คาถา ดังต่อไปนี้
อาตมภาพ เป็นมิตรของชายคนหนึ่ง ได้ดื่มน้ำ
ของมิตรที่เขามิได้ให้ เพราะเหตุนั้น ภายหลัง
อาตมภาพจึงรังเกียจว่า เราทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้
กระทำบาปต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพ
จึงออกบวช.
ความพอใจ บังเกดขึ้นแก่อาตมภาพ เพราะเห็น
ภริยาของผู้อื่น เพราะเหตุนั้น ภายหลังอาตมภาพจึง
รังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้กระทำ
บาปนั้นต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึง
ออกบวช.
ขอถวายพระพรมหาบพิตร โจรทั้งหลายจับโยม
บิดาของอาตมภาพไว้ในป่า อาตมภาพถูกโจรเหล่านั้น
ถาม ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ ได้แกล้งพูดถึงโยมบิดานั้น เป็น
อย่างอื่นไป เพราะเหตุนั้น ภายหลังอาตมภาพจึง
รังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้ทำบาปนั้น
ต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงออกบวช.
เมื่อพลีกรรม ชื่อว่าโสมยาคะ ปรากฏแล้วมนุษย์
ทั้งหลาย ก็พากันกระทำปาณาติบาต อาตมภาพได้
ยอมอนุญาตให้แก่พวกเขา เพราะเหตุนั้น ภายหลัง

อาตมภาพจึงรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่า
ได้ทำบาปนั้นต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพ
จึงได้ออกบวช.
ในกาลก่อน ชนทั้งหลายในหมู่บ้านของอาตม-
ภาพ สำคัญสุราและเมรัยว่าเป็นน้ำหวาน จึงได้พากัน
ดื่มน้ำเมา เพื่อความฉิบหายแก่ชนเป็นอันมาก
อาตมภาพจึงยอมอนุญาตให้แก่พวกเขา เพราะเหตุนั้น
ภายหลังอาตมภาพจึงรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้
แล้ว อย่าได้ทำบาปนั้นต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้น
อาตมภาพจึงได้ออกบวช.

พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ภาษิตคาถาทั้ง 5 เหล่านี้ โดยลำดับ.
ฝ่ายพระราชาทรงสดับคำพยากรณ์ของพระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ละองค์แล้วได้
ทรงสดุดีว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย บรรพชานี้เหมาะสมแก่พระคุณเจ้า
ทั้งหลายทีเดียว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิตฺโต มิตฺตสฺส ความว่า มหาบพิตร
อาตมภาพเป็นเพื่อนคนหนึ่ง บริโภคน้ำดื่มของเพื่อนกัน โดยทำนองนี้. บทว่า
ตสฺมา ความว่า เพราะอาตมภาพไม่กระทำบาปกรรมซ้ำอีก เหมือนอย่าง
พวกปุถุชนกระทำกันอยู่. บทว่า ปาปํ ความว่า อาตมภาพกระทำบาปนั้น
ให้เป็นอารมณ์แล้วบวช. บทว่า ฉนฺโท ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร เพราะ
เห็นภริยาของผู้อื่น โดยทำนองนี้ ความพอใจในกามจึงเกิดขึ้นแก่อาตมภาพ
แล้ว. บทว่า อคณฺหิ แปลว่า ได้รุมกันจับ . บทว่า ชานํ ความว่า อาตมภาพ
ถูกพวกโจรนั้น ถามว่า ผู้นี้เป็นอะไรของแก ทั้ง ๆ ที่ทราบอยู่นั่นแหละ จึง

ตอบไปเสียอย่างอื่นว่า ไม่ได้เป็นอะไรกัน. บทว่า โสมยาเค ความว่า เมื่อ
งานมหรสพใหม่ปรากฏขึ้นแล้ว พวกมนุษย์พากันกระทำพลีกรรมแก่ยักษ์ ชื่อว่า
พิธีโสมยาคะ ครั้นพิธีนั้นปรากฏแล้ว อาตมภาพก็พิจารณาอนุญาต. บทว่า
สุราเมรยมธุกา ความว่า ฝูงชนที่สำคัญอยู่ซึ่งสุรามีสุราเจือด้วยแป้งเป็นต้น
และเมรัยมีน้ำดองดอกไม้เป็นต้นว่าเป็นเหมือนน้ำผึ้ง. บทว่า เย ชนา ปฐมาสุ
โน
ความว่า ฝูงชนที่เป็นเช่นนี้ มีแล้ว ได้มีก่อนในบ้านของพวกเรา. บทว่า
พหุนฺนํ เต ความว่า พวกเหล่านั้น เมื่อถึงงานมหรสพคราวหนึ่ง ได้มีการ
ดื่มน้ำเมา เพื่อความฉิบหายแก่ชนเป็นอันมากในวันหนึ่ง.
พระราชา ทรงสดับพระธรรมเทศนาของพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น
ทรงมีจิตเลื่อมใส ทรงถวายผ้าจีวรและเภสัช ทรงส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าไป
แล้ว. แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ก็ทำอนุโมทนาแก่ท้าวเธอได้พากัน
ไป ณ ที่นั้นนั่นแล. ตั้งแต่นั้นมา พระราชาทรงเบื่อหน่าย ไม่ยินดีในวัตถุกาม
ทั้งหลาย ทรงเสวยพระกระยาหารอันมีรสเลิศต่าง ๆ ก็มิได้ทรงเรียก มิได้ทรง
ทอดพระเนตรพวกสตรี ทรงมีจิตเบื่อหน่าย เสด็จเข้าห้องอันทรงสิริ ประทับ
นั่งกระทำกสิณบริกรรมที่ข้างฝาอันมีสีขาว ทรงทำฌานให้บังเกิดขึ้นแล้ว.
พระองค์ทรงบรรลุฌานแล้ว เมื่อจะทรงติเตียนกามทั้งหลาย จึงตรัสพระคาถาว่า
น่าติเตียนแท้ ซึ่งถามเป็นอันมาก มีกลิ่นเหม็น
มีเสี้ยนหนามมาก เราส้องเสพอยู่ ไม่ได้รับความสุข
เช่นนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุกณฺฏเก ได้แก่ มีหมู่ปัจจามิตร
มากมาย. บาลีว่า โย จ นั้น ที่จริงก็คือ โย อหํ แปลว่า เราใด อีกอย่าง
บาลีก็ว่า โย จ อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า ตาทิสํ ได้แก่ ความสุขในฌาน
เช่นนั้น คือเว้นจากกิเลส.

ลำดับนั้น พระอัครมเหสีของพระองค์ทรงดำริว่า พระราชาพระองค์
นี้ ทรงสดับธรรมกถาของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ทรงมีท่าทางเบื่อ
หน่าย มิได้ตรัสกับพวกเราเลย เสด็จเข้าพระตำหนักอันทรงสิริ เราจักคอย
จับพระองค์ดูก่อน ดังนี้แล้ว เสด็จไปสู่พระทวารตำหนักอันทรงสิริ ประทับ
ยืนที่พระทวารทรงสดับพระอุทาน ของพระราชาผู้กำลังทรงติเตียนกามทั้งหลาย
จึงตรัสว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระองค์ทรงติเตียนกาม ความสุขที่เช่นกับ
กามสุข ไม่มีละหรือ เมื่อจะทรงพรรณนาถึงความสุขในกาม จึงตรัสพระคาถา
ต่อไปว่า
กามทั้งหลายมีรสอร่อยมาก สุขอื่นยิ่งไปกว่า
กามไม่มี ชนเหล่าใด ซ่องเสพกามทั้งหลาย ชนเหล่า
นั้น ย่อมเข้าถึงสวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหสฺสาทา ความว่า ข้าแต่พระทูล
กระหม่อม ธรรมดาว่า กามเหล่านั้นมีความแช่มชื่นมาก ความสุขชนิดอื่นที่ยิ่ง
ไปกว่านี้ ไม่มีเลย เพราะผู้เสพกามเป็นปกติ จะไม่เข้าถึงอบายทั้งหลาย จะพา
กันไปบังเกิดในสวรรค์แล.
พระโพธิสัตว์เจ้า ทรงได้สดับพระราชเสาวนีย์นั้นแล้ว เมื่อจะ
ทรงติเตียนว่า จงย่อยยับเสียเถิด เจ้าคนถ่อย เจ้าพูดอะไร ขึ้นชื่อว่าความสุข
ในกามทั้งหลาย มีที่ไหนกันเล่า เพราะกามเหล่านี้เป็นวิปริณามทุกข์ทั้งนั้น
แหละ จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาที่เหลือว่า
กามทั้งหลาย มีรสอร่อยน้อย ทุกข์อื่นยิ่งไป
กว่ากามไม่มี ชนเหล่าใด ส้องเสพกามทั้งหลาย ชน
เหล่านั้น ย่อมเข้าถึงนรก.

เหมือนดาบที่ลับคมดีแล้วเชือด เหมือนกระบี่
ที่ขัดดีแล้วแทง เหมือนหอกที่พุ่งไปปักอก กามทั้ง
หลาย เป็นทุกข์ยิ่งไปกว่านั้น.
หลุมถ่านเพลิงลุกขึ้นโพลงแล้ว ลึกกว่าชั่วบุรุษ
ผาลที่เขาเผาร้อนอยู่จนตลอดวัน กามทั้งหลายเป็น
ทุกข์ยิ่งไปกว่านั้น.
เหมือนยาพิษชนิดร้ายแรง น้ำมันที่เดือดพล่าน
ทองแดงที่กำลังละลายคว้าง กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่ง
ไปกว่านั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนตฺตึโส เท่ากับ เนตฺติโส. คำว่า
เนตฺตึโส แม้นี้เป็นชื่อของพระขรรค์ชนิดนั้น. บทว่า ทุกฺขตรา ความว่า
ความทุกข์อันใด ที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคล เพราะอาศัยหลุมถ่านเพลิงที่ลุกโพลง
หรือตาข่ายเหล็กที่ถูกย่างไว้ตลอดวันอย่างนี้ กามทั้งหลายนั่นแหละ ยังเป็น
ทุกข์ยิ่งกว่าความทุกข์แม้นั้น. ในคาถาต่อ ๆ ไปมีเนื้อความว่า ยาพิษเป็น
ต้นเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นทุกข์ เพราะนำทุกข์มาให้ฉันใด แม้กามทั้งหลายก็เป็น
ทุกข์ฉันนั้น แต่ความทุกข์นั้น เป็นทุกข์ยิ่งกว่าความทุกข์ที่เหลือ.
พระมหาสัตว์ ทรงแสดงธรรมแก่พระเทวีอย่างนี้แล้ว ได้ทรงให้พวก
อำมาตย์ประชุมกัน แล้วตรัสว่า ดูก่อนอำมาตย์ผู้เจริญทั้งหลาย พวกเธอจง
รับราชสมบัติไว้เถิด ฉันจักบวช ทั้ง ๆ ที่มหาชนพากันร้องไห้คร่ำครวญอยู่
นั่นแล เสด็จลุกขึ้นไปประทับในอากาศ ประทานพระโอวาท เสด็จไปสู่ป่า
หิมพานต์ตอนเหนือ ทางอากาศนั่นเอง ทรงให้สร้างอาศรม ณ ประเทศที่น่า
รื่นรมย์ ผนวชเป็นฤาษี ในที่สุดแห่งพระชนมายุ ได้เสด็จไปสู่พรหมโลกแล้ว.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากิเลสที่เป็นของเล็กน้อย ไม่มีเลย ถึงจะมีประมาณน้อย
บัณฑิตทั้งหลาย ก็พากันข่มเสียได้ทั้งนั้น ดังนี้แล้ว จึงทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย
(เมื่อจบสัจจะภิกษุ 500 รูป ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล) ทรงประชุมชาดกว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายในครั้งนั้น ปรินิพพานแล้ว พระเทวี ได้กลับ
มาเป็นพระมารดาของพระราหุล ส่วนพระเจ้าพาราณสี ก็คือเราตถาคต
นั่นแล.
จบอรรถกถาปานียชาดก

6. ยุธัญชัยชาดก



ว่าด้วยการผนวชของเจ้าชายยุธัญชัยและยุธิฏฐิละ



[1553] หม่อมฉันขอถวายบังคมพระองค์
ผู้เป็นจอมทัพ มีมิตรและอำมาตย์แวดล้อมแน่นขนัด
ข้าแต่พระทูลกระหม่อม หม่อมฉันจักบวช ขอได้
โปรดทรงพระอนุญาตเถิด.

[1554] ถ้าเธอยังบกพร่องด้วยกามทั้งหลาย
ฉันจะเพิ่มเติมให้เต็ม ผู้ใดเบียดเบียนเธอ ฉันจักห้าม
ปราม พ่อยุธัญชัยอย่าเพิ่งบวชเลย.

[1555] หม่อมฉันมิได้บกพร่องด้วยกามทั้ง-
หลายเลย ไม่มีใครเบียดเบียนหม่อมฉัน แต่หม่อมฉัน
ปรารถนาจะทำที่พึ่ง ที่ชราครอบงำไม่ได้ พระเจ้าข้า.